แบ่งปัน

 

หนุ่มลูกครึ่งไทย-อินเดียโร่แจ้งความถูกการ์ดคุมเธคนับสิบรุมยำอ่วมแถมขู่ยิงทิ้งทะเล

เหตุการณ์หนุ่มลูกครึ่งไทย-อินเดีย ถูกการ์ดที่คุมเธคในวอล์คกิ้งสตรีทนับสิบลากไปกระทืบอ่วมอ้างว่าเข้ามาก่อกวนในเธค มิหนำซ้ำเจ้าของชาวอินเดียยังขู่สั่งการ์ดยิงทิ้งทะเล ภายหลังรักษาตัวจึงเข้าแจ้งความเพื่อร้องขอความเป็นธรรม โดยเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 16 มีนาคม 60 นาย ดีปาค กุมาร ทิวารี อายุ 30 ปี ลูกครึ่งไทย-อินเดีย หอบร่างอันสะบักสะบอม เดินทางพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา โดยมีบาดแผลแตกที่หน้าผาก ใบหน้าบวมปูด และรอยพกช้ำตามร่างกาย

นาย ดีปาค กุมาร ทิวารี ลูกครึ่งไทย-อินเดีย ได้ให้การว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วง 02.00 น. ของคืนวันที่ 16 มีนาคม ตนได้เข้าไปเที่ยวที่ดิสโก้เธคแห่งหนึ่ง ในถนนวอลคกิ้งสตรีท พัทยาใต้ และได้เอามือถือถ่ายภาพเล่นภายใน พอหลังจากนั้นได้มีกลุ่มการ์ดได้มาพาตนไปที่หลังร้านของเธคดังกล่าว ก่อนที่จะมีเจ้าของเธคที่เป็นชาวอินเดียเข้ามาพบตนและถามว่าทำงานให้ใครมาทำไม ตนเองบอกว่าไม่ได้ทำงานอะไรให้ใคร มาเที่ยวตามปกติ แล้วมีชายฉกรรจ์1ในกลุ่มอ้างว่าเป็นทหารและชักอาวุธปืนออกมาขึ้นลำแล้วจี้ที่ลำตัวของตน และข่มขู่ว่าจะยิงทิ้งตรงนี้แล้วโยนลงทะเลก็ได้ไม่มีใครรู้ พร้อมพยายามข่มขู่ต่างๆนาๆ หลังจากนั้นทั้งหมดก็เข้ารุมยำตนนับสิบคน และลากออกมานอกร้าน พอมีตำรวจมาทั้งหมดแจ้งว่าตนเข้าไปก่อกวน ตำรวจไม่สอบถามอะไร บอกอย่างเดียวว่าตนนั้นผิดอย่างเดียวและปล่อยให้ตนนั่งอยู่ที่บริเวณนั้นนานนับชั่วโมงก็ไม่ทำอะไร ขอดื่มน้ำก็ไม่ไห้ดื่ม บอกให้ตายไปเลย ทั้งๆที่ตนเองได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใด ต่อมาตำรวจได้คุมตัวตนมาที่ สภ.เมืองพัทยา พบพนักงานสอบสวน แล้วมีการ์ดตามมาที่ สภ.เมืองพัทยา และมานั่งข้างตนในห้องพนักงานสอบสวน พอพนักงานสอบสวนเดินออกไปด้านนอก การ์ดได้ข่มขู่ตนอีกครั้งในห้องพนักงานสอบสวนโดยทำนิ้วเป็นสัญลักษณ์ปืน ซึ่งจังหวะนั้นตนมาเพียงคนเดียวจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไร ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นตนจึงได้ความเป็นธรรมในทางคดีความเนื่องจากทางเจ้าของเธคอ้างว่าเป็นผู้กว้างขวางและมีบารมีมากแม้กระทั้งตอนที่ตำรวจมาในที่เกิดเหตุกลุ่มการ์ดยังทำร้ายตนต่อหน้าตำรวจโดยตำรวจไม่มีการห้ามเลย

เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนในลงบันทึกประจำวันไว้เรียบร้อยแล้วพร้อมได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ อย่างไรจะได้สอบปากคำผู้บาดเจ็บอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมทั้งจะได้เรียกเจ้าของร้านและผู้ที่เกี่ยวข้องมาทำการสอบสวนเพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายต่อไป