แบ่งปัน

จากกรณี นายปัญญา ยิ่งดัง หรือ เสี่ยอ้วน ร่วมกับพวกก่อคดียิง น.ส.ปวีณา หรือ น้องสปาย นาเมืองรักษ์ อายุ 20 ปี และนายอนันตชัย หรือฟอส จริตรัมย์ อายุ 20 ปี เสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม บริเวณลานจอดรถหน้าองค์พระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ก่อนถูกจับกุมตัวได้พร้อมลูกสมุนรวม 6 ราย และอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ โดยเบื้องต้นถูกตั้ง 3 ข้อหาหนักได้แก่ ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ ทั้งนี้มาจากสาเหตุเรื่องของ “ปมชู้สาว”

โดยนายปัญญา ระบุว่าโกรธแค้น น้องสปาย เป็นอย่างมาก เนื่องจากรักและทุ่มเททุกอย่างให้ แถมยังยืนยันว่ามีการโอนเงินให้ครอบครัวน้องสปายจำนวน 7 ล้าน ซึ่งมีหลักฐานครบนั้น แต่แอบสงสัยว่าน้องสปาย น่าจะคบซ้อนกับกับชายอื่นจึงให้นายสายันต์ ลูกน้องคนสนิท ไปสืบหาความจริง กระทั่งได้รู้ความจริงว่า น้องสปายคบหากับน้องฟอส ทำให้โกรธแค้นมาก แม้ตอนแรกคิดแค่ว่าจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคืน แต่ด้วยความโมโหและรู้สึกถูกหยามศักดิ์ศรีจึงจบลงที่การวางแผนสังหารทั้งคู่นั้น
มีรายงานว่าวันนี้ (12 พ.ย.) ที่สำนักงานทนายความจังหวัดพัทยา ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี นายเฉลิมวัตน์ วิมุกตายน นำกลุ่มทนายความจากสภาทนายความศาลจังหวัดพัทยา พร้อม นางวันเพ็ญ นาเมืองรักษ์ อายุ 40 ปี พร้อมครอบครัว เดินทางมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่าได้มาร้องขอความเป็นธรรมจากสภาทนายความฯในการติดตามความคืบหน้าของคดี เนื่องจากไม่ได้รับการชี้แจงหรือแจ้งความคืบหน้าแต่อย่างใด พร้อมจะขอเป็นโจทย์ร่วมในการฟ้องนายปัญหา หรือ เสี่ยอ้วน พร้อมพวก เพื่อเรียก ร้องค่าเสียหายทางแพ่งจำนวน 14 ล้านบาท
นายเฉลิมวัตน์ วิมุกตายน ตัวแทนสภาทนายความฯกล่าวว่าก่อนหน้านี้ นางวันเพ็ญ ได้ไปร้องขอขอติดตามความคืบหน้าของคดีที่สภาทนายความใน กทม.เนื่องพบไม่ได้รับแจ้งเบาะแสความคืบหน้าตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ทางสภาที่กรุงเทพจึงส่งเรื่องมาให้ที่พัทยาเนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งจากการพบปะพูดคุยกับนางวันเพ็ญ พบว่าเดือดร้อน ยากไร้ และไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือแจ้งเบาะแสความคืบหน้าแต่อย่างใด จึงได้ให้สภาทนายความฯส่งเรื่องยื่นหนังสือขอเป็นโจทย์ร่วมฟ้องนายปัญญา พร้อมพวกทั้ง 6 คนในคดี ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยจะมีการเรียกค่าเสียหายชดเชย อุปการะเลี้ยงดูจากผู้ต้องหาจำนวน 14 ล้านบาท ซึ่งแยกเป็นค่าดูแลที่เคยได้รับจากน้องสปายเดือนละ 3 หมื่นบาท รวม 40 ปีเป็นเงิน 10 ล้านเศษ และค่าปลงศพอีกจำนวน 3 แสนกว่าบาท ซึ่งปัจจุบันทางศาลจังหวัดพัทยาได้รับเรื่องไว้แล้ว ส่วนจะได้ครบตามจำนวนที่เรียกร้องหรือไม่ก็คงอยู่ในดุลยพินิจของศาล


ขณะที่นายปัณฑวัฏฐ์ พิมพ์สกุล ทนายความระบุว่าสำหรับคดีนี้ถือว่าอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญอย่างมาก โดยก่อเหตุกลางแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแม้ว่าจะให้การปฏิเสธแต่เชื่อมั่นว่าจากพยานหลักฐานที่ตำรวจรวบรวมไว้นั้นเพียงพอที่สามารถจะเอาผิดได้ ซึ่งหลังจากวันที่ 20 ธันวาคมนี้ก็จะสามารถนำผลการพิจา รณามาแจ้งให้ทราบได้เบื้องต้น ส่วนการฟ้องร้องนั้นขณะนี้ได้ขอยื่นเป็นโจทย์ร่วมเพียงคดีร่วมกันฆ่าโดยไตร่ ตรองไว้ก่อนเท่านั้น และฟ้องเป็นคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย ส่วนเรื่องของอาญาคงเป็นเรื่องที่ศาลจะตัดสิน ขณะที่อีก 2 คดีนั้นเจ้าหน้าของรัฐเป็นโจทย์จึงไม่ได้ยื่นเรื่องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
กรณีที่มีการกล่าวว่าก่อนเกิดเหตุนายปัญญา ได้โอนเงินให้น้องสปาย หรือครอบครัวจำนวนหลายล้านบาทนั้น กรณีนี้คงไม่นำมานับรวมเพราะไม่ใช่เรื่องของการเยียวยาแต่ก็กำลังมีการตรวจสอบบัญชีของครอบ ครัวว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไรเพื่อนำมาประกอบสำนวนด้วย ขณะที่สุดท้ายหากศาลตัดสินว่านายปัญญา มีความผิดแต่ไม่ยอมชดใช้เงินตามการเรียกร้องในปริมาณที่ศาลตัดสิน ก็คงจะมีการส่งเรื่องไปยังกรมบังคับคดีเพื่อร้องขอให้ยึดทรัพย์ นำมาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชดใช้ต่อไป…