แบ่งปัน

จับสาวลาวทิ้งลูกวัยแบเบาะ เจ้าตัวอ้างทำไปจำใจเพราะยังไม่พร้อมมีบุตร เผยบิดาเป็นชาวญี่ปุ่น แต่เลิกกันขณะตั้งท้อง 2 เดือนโดยที่ผู้เป็นพ่อไม่ทราบเรื่อง ชาวบ้านวอน หากทราบข่าวขอให้บินกลับมารับลูกไปเลี้ยง เด็กจะได้ไม่ต้องกำพร้า

กรณีเมื่อช่วงค่ำวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา มีคนใจร้ายนำเด็กทารกวัยแบเบาะเพศชายไปทิ้งไว้บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 60/49 ในซอย 12 ถนนพัทยาสาย 3 ย่านพัทยากลาง เมืองพัทยา จ.ชลบุรี แล้วหลบหนีไป เบื้องต้นทางตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ได้ เดินทางไปตรวจสอบ และนำตัวเด็กไป ให้เจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ดูแลเป็นการชั่วคราว พร้อมกับเร่งหาเบาะแสติดตามตัวคนที่นำเด็กมาทิ้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพ่อหรือแม่ของเด็กเอง ตามที่รายงานไปแล้วนั้น


ความคืบหน้าของเรื่องนี้เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 พ.ย.61 พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมกำลังตำรวจชุดสืบสวน ควบคุมตัว น.ส.ประไพ เวียงสง่า (Mrs.Paphay Viengsanga) อายุ 20 ปี สัญชาติลาว มารดาของเด็ก มาทำการสอบสวน หารายละเอียด หลังจากมีหลักฐานว่า หญิงชาวลาวรายนี้เป็นคนที่นำลูกตัวเองไปทิ้ง
หลังสอบสวนเบื้องต้น พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา เปิดเผยว่า คดีนี้ทางตำรวจ ได้ทำการสอบปากคำพยานซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่เด็กถูกนำไปทิ้งจนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นหญิงสาวชาวลาวนั่งอยู่หน้าบ้านโดยอุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมกอด เมื่อสอบถามหญิงคนดังกล่าวอ้างว่ามานั่งรอเพื่อน ก่อนที่จะทิ้งเด็กไว้แล้วหลบหนีไป เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าเจ้าตัวเป็นคนทิ้งลูกจริงๆ จึงออกสืบสวนหาข่าว แนะนำภาพถ่ายเผยแพร่ไปในโลกโซเชียล กระทั่งมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแสว่า พบผู้ต้องสงสัยลักษณะใกล้เคียงกับบุคคลในภาพ กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านมีดีแจ่วฮ้อน ซอยอรุโณทัย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ จึงเดินทางไปตรวจสอบ และพบ น.ส.ประไพ นั่งอยู่ในร้านดังกล่าว ตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่าการอนุญาต ให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยได้สิ้นสุดลงแล้ว


จากการสอบสวน น.ส.ประไพ ให้การรับสารภาพว่า เป็นมารดาของเด็กและเป็นคนนำเด็กไปทิ้งจริง โดยก่อนหน้านี้ตนเดินทางมาทำงานบาร์เบียร์ที่เมืองพัทยา และพักอาศัยอยู่ที่ลิตเติ้ลคอร์ด ในซอยบัวขาว กระทั่งมีโอกาสรู้จัก นายเจ (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง) อายุ 35 ปี นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น (ไม่ทราบว่าทำงานอะไร) ที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่เมืองพัทยา แบบไปๆ มาๆ ห่างกัน 2 สัปดาห์/ครั้ง และคบหากันอยู่นาน 3 เดือน กระทั่งเมื่อ 7 เดือนที่แล้วนายเจ ได้บอกเลิกและเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่น และมารู้ตัวภายหลังว่าตั้งท้อง 2 เดือน โดยที่พ่อเด็กไม่รู้เรื่อง ตอนแรกตนไม่รู้จะทำอย่างไร และไม่กล้าปรึกษาใคร เพราะพาสปอร์ตวีซ่าให้อยู่ในราชอาณาจักรหมดอายุ แต่ตนก็ไม่เคยคิดเอาเด็กออก ยังคงทำงานและปล่อยให้ท้องอยู่นานเกือบ 9 เดือน โดยอาศัยเช่าห้องพักรายวันอยู่ที่ ลิตเติ้ลคอร์ด ในซอยบัวขาว พัทยาใต้ ซึ่งเป็นห้องเช่ารายวัน กระทั่งวันที่ 22 พ.ย.ขณะตนเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายทุกข์ จู่ๆ เด็กได้คลอดออกมากะทันหันโดยที่ไม่มีอาการปวดท้อง ภายหลังจึงหากรรไกรมาตัดสายรก ปรากฏว่าเด็กแข็งแรงดี ตนเองให้ดื่มนมจะอยู่นาน 3 วัน จากนั้นข้ามวันที่ 25 พ.ย. จึงตัดสินใจนำลูกไปทิ้ง ที่หน้าบ้านหลังดังกล่าว เพราะตั้งใจว่าคงมีคนมาเห็นแล้ว นำลูกของตนไปเลี้ยง


น.ส.ประไพ ให้การอีกว่า ปกติครอบครัวที่ประเทศลาวมีอาชีพทำไร่ทำนาโดยในขณะที่ตนอายุได้ 2 ขวบ พ่อกับแม่ได้แยกทางกันคนจึงอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยง ภรรยาใหม่ของพ่อ ด้วยความยากจนจึงดั้นด้นเดินทางมาหางานทำที่พัทยาและทำงานที่บาร์แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะไปรู้จักและคบหากับนายเจ ชาวญี่ปุ่น จนกระทั่งตั้งท้องและคลอดลูกออกมา และคิดว่าคงไม่มีปัญญาเลี้ยงจึงนำลูกในไส้ไปทิ้งดังกล่าว

เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานทอดทิ้งเด็กตามมาตรา 306 คือผู้ใดทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกิน 9 ปีไว้ ณ ที่ใดเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล และข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยใบอนุญาตสิ้นสุด ก่อนนำตัวไปชี้จุดทิ้งเด็ก เพื่อทำแผนประกอบรับคำสารภาพ ท่ามกลางประชาชนในละแวกดังกล่าวที่ทราบข่าว ต่างพากันมามุงดูจำนวนหนึ่ง ซึ่งหลายคนบอกว่า รู้สึกสงสารเด็ก และไม่ทราบว่าจิตใจของคนเป็นแม่ทำด้วยอะไร อีกครั้งพอทราบว่าบิดาของเด็กเป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น และไม่ทราบว่าอดีตแฟนสาวของตัวเองตั้งท้องและคลอดลูกออกมา หากเจทราบข่าวก็อยากให้ กลับมาเมืองไทยและนำลูกในไส้ของตัวเองไปเลี้ยงดู เด็กจะได้ไม่กำพร้า และมีโอกาสเติบโตใช้ชีวิตในสังคมอย่างเป็นปกติ.